วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บทที่14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ

เรื่องที่1 ธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ (Business and IT)
       ผู้บริหารต้องคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่างการดำเนินธุรกิจ เทคโนโลยี และการตัดสินใจที่ต้องกระทำอย่างสอดคล้องกัน ปัจจุบันผู้บริหารต้องประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศและ การตัดสินใจทางธุรกิจขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดวิสัยทัศน์และสร้างโอกาสในการประยุกต์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ องค์การ ผู้บริหารต้องสามารถจัดการกับเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.  กำหนดกลยุทธ์องค์การที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
2.  กำหนดแผนงานสารสนเทศระดับองค์การและการดำเนินงาน กำหนดโครงสร้างหน่วยงานสารสนเทศ
3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศขององค์การ (information system infrastructure) เช่น อุปกรณ์ ชุดคำสั่ง ระบบสื่อสารและจัดการข้อมูล ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดศักยภาพ และความยืดหยุ่นในการปรับตัวของงานสารสนเทศในองค์การ
4.  กำหนดรายละเอียดการดำเนินงานภายในองค์การ พร้อมทั้งพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีความพร้อมต่อการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดแก่องค์การ

ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ
                ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ (business information systems) เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานของธุรกิจให้ ดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยถูกออกแบบและพัฒนาให้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ทางธุรกิจ ตลอดจนช่วยส่งเสริมให้ทั้งองค์การ สามารถประสานงานและใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในระดับปฏิบัติ งานและระดับบริหาร โดยเราสามารถจำแนกระบบสารสนเทศตามหน้าที่ทางธุรกิจตามหน้าที่ดังต่อไปนี้
1.  ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี (accounting information system)
2.  ระบบสารสนเทศด้านการเงิน (financial information system)
3.  ระบบสารสนเทศด้านการตลาด (marketing information system)
4.  ระบบสารสนเทศด้านการผลิตและการดำเนินงาน (production and operations information system)
5.  ระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคล (human resource information system)

ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี

                        ปัจจุบันงานของนักบัญชีมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยทำให้มีการพัฒนาชุดคำสั่งสำเร็จรูป หรือชุดคำสั่ง เฉพาะสำหรับช่วยในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูล ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและเพิ่มความถูกต้องใน การทำงานแก่ผู้ใช้ ทำให้นักบัญชีมีเวลาในการปฏิบัติงานเชิงบริหารมากขึ้น เช่น การออกแบบและพัฒนาระบบงาน พัฒนาระบบงบประมาณและระบบข้อมูลสำหรับผู้บริหาร เป็นต้น โดยที่ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี (accounting information systems) หรือที่เรียกว่า AIS จะเป็นระบบที่รวบรวม จัดระบบ และนำเสนอสารสนเทศทางการบัญชีที่ช่วยในการตัดสินใจแก่ผู้ใช้สารสนเทศทั้งภาย ในและภายนอกองค์การ โดยระบบสารสนเทศทางการบัญชีจะให้ความสำคัญกับสารสนเทศที่สามารถวัดได้ หรือ การประมวลผล เชิงปริมาณมากกว่าการแก้ปัญหาเชิงคุณภาพ โดยระบบสารสนเทศด้านการบัญชีจะมีส่วนประกอบหลัก 2 ส่วนคือ

                1.  ระบบบัญชีการเงิน (financial accounting system) บัญชีการเงินเป็นการบันทึกรายการคำที่เกิดขึ้นในรูปตัวเงิน จัดหมวดหมู่รายการต่าง ๆ สรุปผลและตีความหมายในงบการเงิน ได้แก่ งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ นำเสนอสารสนเทศแก่ผู้ใช้และผู้ที่สนใจข้อมูลทางการเงินขององค์การ เช่น นักลงทุนและเจ้าหนี้ นอกจากนี้ยังจัดเตรียมสารสนเทศในการตัดสินใจของผู้บริหาร ซึ่งนักบัญชีสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศใช้ในการประมวลข้อมูล โดยจดบันทึกลงในสื่อต่าง ๆ เช่น เทปหรือจานแม่เหล็ก เพื่อรอเวลาสำหรับทำการประมวลและแสดงผลข้อมูลตามต้องการ

                2.  ระบบบัญชีบริหาร (managerial accounting system) บัญชีบริหารเป็นการนำเสนอข้อมูลทางการเงินแก่ผู้บริหาร เพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ระบบบัญชีจะประกอบด้วย บัญชีต้นทุน การงบประมาณ และการศึกษาระบบ โดยมีลักษณะสำคัญคือ
*    ให้ความสำคัญกับการจัดการสารสนเทศทางการบัญชีแก่ผู้ใช้ภายในองค์การ
*    ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในอนาคตของธุรกิจ
*    ไม่ต้องจัดทำสารสนเทศตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
*    มีข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน
*    มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งาน





เรื่องที่2 มิติระหว่างประเทศ (The International Dimension)

       ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่เดิมนั้นเป็นไปในลักษณะของ "พระราชไมตรี” ระหว่างกษัตริย์กับกษัตริย์ กิจกรรมต่างๆ ก็ล้วนดำเนินไปเพื่อสนองตอบต่อรูปแบบของความสัมพันธ์ดังกล่าว และบ่อยครั้งที่สงครามหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ มีสาเหตุจากเหตุผลส่วนพระองค์หรือการรักษาพระเกียรติยศของกษัตริย์ แต่

       ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา การวิวัฒน์ของการปกครอง การเมือง เศรษฐกิจและสังคม ทำให้ลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดั้งเดิมได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสัมพันธ์ยุคใหม่ที่ไม่ได้ยึดถือความสัมพันธ์ส่วนบุคคลของประมุขประเทศเป็นเกณฑ์ หากมีความหลากหลายทางมิติมากขึ้น และเห็นได้อย่างชัดเจนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
 หากเปรียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเช่นการปลูกต้นไม้ใหญ่สักต้นหนึ่ง จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์แบบพระราชไมตรีนั้นเป็นเสมือนเสาหลักต้นใหญ่เพียงต้นเดียวที่ค้ำต้นไม้อยู่ หากเสาคลอนก็อาจทำให้ต้นไม้ล้มลงได้ แต่ความสัมพันธ์แบบหลากมิตินั้นเหมือนเสาต้นย่อมๆ หลายต้นที่ร่วมกันค้ำยันต้นไม้ไว้ ถึงเสาบางต้นอาจจะโยกคลอน แต่ก็ยังมีต้นอื่นๆ คอยพยุงต้นไม้เอาไว้
 แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันจะอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ทางการทูต แต่ความสำคัญนั้นอาจจะผูกพันกับความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ เช่นความสัมพันธ์ด้านการค้า ความสัมพันธ์ด้านการลงทุน ความสัมพันธ์ทางวิชาการ ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง ความสัมพันธ์ด้านการศึกษา และความสัมพันธ์ด้านกีฬาและวัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งความไม่ลงรอยกันในความสัมพันธ์ด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นความไม่ลงรอยกันความสัมพันธ์ด้านอื่นหรือทุกๆ ด้านไปด้วย
 จีนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการดำเนินความสัมพันธ์แบบหลากมิติ ในยุคสงครามเย็น แม้จีนจะถูกปิดล้อมจากโลกตะวันตก แต่จีนก็พยายามแหวกวงล้อมด้วยการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรม รวมทั้งการใช้กีฬาเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับโลกภายนอก จนเป็นที่มาของคำว่า “การทูตปิงปอง” หรือขณะที่รัฐบาลจีนแสดงท่าทีแข็งกร้าวกับไต้หวันมาโดยตลอด แต่อีกทางหนึ่งก็เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนของทั้งสองจีนพัฒนาความสัมพันธ์ต่อกัน และเมื่อประชาคมโลกเริ่มให้การรับรองสถานภาพของจีนจนสามารถมีที่นั่งในสหประชาชาติแทนที่ไต้หวันได้นั้น แม้ในทางนิตินัยประเทศที่เปิดความสัมพันธ์กับจีนจะต้องตัดความสัมพันธ์กับไต้หวัน แต่ทางพฤตินัยจีนก็ยินยอมให้ประเทศต่างๆ เหล่านั้นยังคงมีความสัมพันธ์กับไต้หวัน ในด้านการค้าและวัฒนธรรมได้ต่อไป
 โดยเฉพาะในกรณีสงครามชายแดนระหว่างจีนกับอินเดีย ในปี ค.ศ.1962 จีนได้ใช้นโยบายทางการทูตควบคู่ไปกับการรบ และคลี่คลายปัญหาด้วยกลยุทธ์แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง โดยเจรจาแก้ไขปัญหาในเรื่องที่สามารถตกลงกันได้ และเก็บเรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้เอาไว้ก่อน ซึ่งแม้เวลาจะล่วงเลยจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมาเกือบ 50 ปีแล้ว และจีนกับอินเดียยังมีพื้นที่ซ้ำซ้อนกันในรัฐอรุณาจัลประเทศ เป็นพื้นที่กว่า 9 หมื่น ตร.กม. ก็ตาม

คำศัพท์บทที่ 14

1.Data                  ข้อมูล

2.International         ระหว่างประเทศ

3.Dimension             มิติ

4.Management            การจัดการ

5.Important             ความสำคัญ

6.Customer              ลูกค้า

7.Knowledge             ความรู้

8.Unknow                ความไม่รู้

9.Effectively           ประสิทธิภาพ

10.Efficiently          ประสิทธิผล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น